เทคนิค เครื่องเสียงรถยนต์
การขยายกำลังเสียง (Power Amplifier)
อุปกรณ์ที่อยู่ในองค์ประกอบการขยายกำลังเสียงนั้น ในปัจจุบัน มีให้เห็นอยู่ด้วยกัน 2 แบบหลักๆ ได้แก่ภาคขยายกำลังสูงในวิทยุซีดี
เป็นอุปกรณ์ย่อยที่ประกอบเอาไว้ในวิทยุซีดี มีรูปลักษณ์การทำงานที่เป็น”ไอซี”แบบหลายขาต่อ และมีการบริดจ์เพื่อเพิ่ม กำลังขยายให้สูงขึ้น ปัจจุบันสามารถทำกำลังวัตต์สูงสุดได้ถึง 50-60 วัตต์เพาเวอร์แอมป์รถยนต์
เป็นอุปกรณ์เพิ่มกำลังทางเสียงให้เพียงพอต่อความต้องการฟัง โดยจะมีมาตรวัดกำลังขับที่เป็น RMS จึงให้กำลังทางเสียงที่ครบถ้วน สมบูรณ์ระดับไฮไฟเดลิตี้ แตกต่างกับภาคขยายกำลังสูงที่มีในวิทยุซีดี เพราะมักใช้มาตรวัดกำลังขับเป็น Peakมีลักษณะการออกแบบแตกต่างกันไปเป็น 2 แชนแนล,4 แชนแนล, 5 แชนแนล, 5.1 แชนแนล, 6 แชนแนล, 7.1 แชนแนล,
8 แชนแนล ตามที่ผู้วางระบบต้องการเลือกใช้งาน ปัจจุบันมีการออกแบบเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ไบโพล่าร์ เป็นตัวขยาย และใช้หลอดสุญญากาศ และแบบผสมร่วมระหว่างหลอดสุญญากาศกับทรานซิสเตอร์ โดยมีการทำงานทั้งคลาส-เอ,
คลาส-เอบี, คลาส-ดี และคลาส-ที ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม
ปัจจุบัน เพาเวอร์แอมป์หลายรุ่นหลายยี่ห้อ มีการติดตั้ง ภาคการจัดการเสียงต่างๆ มาให้ด้วย เช่น มีครอสโอเวอร์ในตัว, มีตัวปรับตัดคลื่นซับโซนิค, มีตัวปรับเฟสเสียง และมีวงจรป้องกัน ความเสียหายจนมีเสถียรภาพการทำงานที่เยี่ยมยอด
ระดับการทำงานของเพาเวอร์แอมป์รถยนต์
คนทั่วไปมักคิดว่าเพาเวอร์แอมป์จะให้การทำงานเต็ม 100% เมื่อป้อนสัญญาณเข้าไป แต่ในความจริงเพาเวอร์แอมป์มีการสลายกำลัง (ในรูปแบบของความร้อน) และมีความผิดเพี้ยนในระดับ สัญญาณเสียงเป็น 2 ปัจจัยหลักที่มีผลกับประสิทธิภาพทำงานของ เพาเวอร์แอมป์
การออกแบบวงจรเพาเวอร์แอมป์จึงต้องเลือกระดับชั้นในการ ทำงานของเพาเวอร์แอมป์ และแต่ละระดับชั้นนั้นก็มีคุณสมบัติที่เป็น ประสิทธิภาพเฉพาะตัว
- Class A ถูกกำหนดไว้เพื่อคุณภาพของเสียงที่สูงสุด แต่ด้วย เหตุที่มันมีโครงสร้างพื้นฐานเป็นทรานซิสเตอร์ทั้งหมด เพาเวอร์แอมป์ คลาส-เอจึงไร้ประสิทธิผลและร้อนในขณะทำงาน แม้ในขณะที่ไม่มีสัญญาณเสียงป้อนเข้ามา ทรานซิสเตอร์เอาท์พุ ก็ยังคงมีกระแสไหลผ่านตัวมันตลอด กระแสที่ไหลผ่านตลอดเวลา นี้เองที่ทำให้เกิดความร้อนโดยไม่จำเป็น และสูญเสียพลังงานไป อย่างมาก เพาเวอร์แอมป์ในยุคหลังๆ จึงมักใช้วงจรคลาส-เอที่เป็นวงจรผสม
ของ Class A/Class AB เพื่อลดปัญหาความร้อน
- Class AB เป็นการออกแบบที่ยอมให้เอาท์พุททรานซิสเตอร์ มีกระแสไหลผ่าน ขณะที่ไม่มีสัญญาณเสียงป้อนเข้ามา ในระดับต่ำมากๆ จึงให้ประสิทธิผลที่มากกว่าคลาส-เอ โดยที่มีความผิดเพี้ยนต่ำและมีความน่าเชื่อถือสูง
- Class D เป็นการใช้เอาท์พุทรานซิสเตอร์ทำงานแทนสวิตช์ เพื่อควบคุมการป้อนจ่ายกำลัง โดยทรานซิสเตอร์จะหยุดทำงานเมื่อมี แรงดันไฟปริมาณมากๆ ตกคร่อมอยู่ที่ตัวมัน วงจรครลาส-ดีจึงให้ประสิทธิผลสูงสุด การทำงานมีความร้อนต่ำสุด และให้การไหลของกระแสได้มากกว่าวงจรคลาส-เอบี เพาเวอร์แอมป์คลาส-ดีจะมีความผิดเพี้ยนสูงกว่าคลาส-เอบี เนื่องจากการปิด/เปิดอย่างรวดเร็วของทรานซิสเตอร์ แต่ก็มักเกิดขึ้น ที่ย่านความถี่สูง ดังนั้นโดยปกติมักจะใช้การกรองความถี่ให้ผ่านเฉพาะ
ย่านความถี่ต่ำมาใช้งาน
- Class T เป็นการใช้การจัดเรียงคลื่นเสียง โดยใช้ข้อเด่นของ วงจรคลาส-เอบี ผสมเข้ากับประสิทธิภาพทางกำลังที่สูงและการ ทำงานที่มีความร้อนน้อยของคลาส-ดี เพาเวอร์แอมป์คลาส-ที จึงสามารถให้กำลังวัตต์ที่สูงกว่าเป็น 2-4 เท่าตัว เมื่อเทียบกัน
ในขนาดเท่ากันของเพาเวอร์แอมป์คลาส-เอบี